วัดบ้านไร่ ด่านขุนทด หลวงพ่อคูณ

ภาคอีสาน

by Administrators 5245 Views

ก้าวเข้าสู่จังหวัดที่เรียกได้ว่าเป็นประตูสู่ภาคอีสานนั่นคือ จ.นครราชสีมา  หรือ โคราช

แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมีหลายที่  เช่น  กราบไหว้ย่าโม  เขาใหญ่  Palio  น้ำพุธรรมชาติ  ฟาร์มโชคชัย

ตลาดน้ำกลางดง  ปราสาทหินพนมวัน  อื่นๆอีกมากมาย

แต่วันนี้ทีมงาน  SmileTravel.in.th  จะพาเพื่อนๆมาเที่ยววัดชื่อดังวัดหนึ่งที่มีชื่อเสียงมายาวนาน

มีเกจิอาจารย์ชื่อดังที่ทุกท่านต้องรู้จักแน่นอน  นั่นคือ…

วัดบ้านไร่  ด่านขุนทด  หลวงพ่อคูณ

เป็นวัดที่สวยงามตระกาลตามาก  ประดับประดา  ตกแต่งด้วยศิลปะชั้นยอดทั่วทุกพื้นที่

ออกแบบได้เหนื้อชั้นมาก  มีทั้งด้านบน  และลงไปด้านใต้น้ำเลยค้าบ

กลางวันแดดจะร้อนมาก  แนะนำให้ใส่หมวก  พกร่มไปด้วย

Watbanrai-1

 “กูจะทำให้ชาวบ้าน เพื่อตอบแทนข้าวน้ำ ที่เขาให้กูกินทุกวัน” … จากปณิธานของ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ที่ต้องการให้ชาวบ้านมีกินมีใช้ มีงานทำตลอดไป วิหารเทพวิทยาคม ณ วัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา จึงจัดสร้างขึ้นด้วยเจตนาบริสุทธิ์ของบรรดาศิษยานุศิษย์ที่มีศรัทธาอันมั่นคงต่อเจตนารมณ์ และวัตรปฏิบัติซึ่งรักษาและธำรงไว้ซึ่งหลักธรรมของพระพุทธเจ้า พร้อมมุ่งเผยแพร่พระพุทธศาสนาของ หลวงพ่อคูณ พระสงฆ์ผู้มีทานบารมีสูงส่ง อีกทั้งเพื่อต้องการให้ “วัดบ้านไร่” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนา วัฒนธรรม และศิลปกรรมอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา

           สำหรับ วิหารเทพวิทยาคม หรือ วิหารปริสุทธปัญญา เป็นอุทยานธรรมกลางบึงน้ำขนาดใหญ่ของวัดบ้านไร่ ก่อสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะให้เป็นมหาวิหารแห่งพระไตรปิฎก หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ดินแดนที่รวบรวมพุทธประวัติ พระวินัย และพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมด และเพื่อจรรโลงพระศาสนาให้เป็นไปตามปัจฉิมวาจาของพระพุทธองค์ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานที่ว่า “แท้จริงแล้ววินัยที่เราได้บัญญัติแก่ท่านทั้งหลายก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลายก็ดี เมื่อเราล่วงไปแล้ว ธรรมและวินัยเหล่านั้นจะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย” ดังนั้น มหาวิหารแห่งนี้จึงเป็นสถานที่แห่งแรกและแห่งเดียวในโลกที่นำเอาพระไตรปิฎกมาแสดงและให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป

           วิหารเทพวิทยาคม เป็นสิ่งปลูกสร้างสูง 5 ชั้น กลางบึงน้ำวัดบ้านไร่ มีความกว้าง 60 เมตร ยาว 60 เมตร เป็นปริมณฑล อาคารสิ่งก่อสร้างองค์กลางมีขนาดกว้าง 30 เมตร ยาว 30 เมตรโดยประมาณ ความสูง 42 เมตร ซึ่งแต่ละชั้นประกอบด้วย

           ชั้นใต้ดินของวิหารเทพวิทยาคม

           ชั้นใต้ดินของวิหารเป็นส่วนจัดแสดงและให้ผู้เข้าชมได้เลือกรับของที่ระลึกจากเงินทำบุญของท่านผู้เข้าชมเอง บรรยากาศโดยรอบจัดตกแต่งให้เสมือนท่านได้อยู่ในท้องนทีอันศักดิ์สิทธ์ หรือโลกใต้บาดาล โดยของที่ระลึกอันเป็นมงคลนั้น ผู้เข้าชมสามารถเลือกได้ตามความหมายอันเป็นสิริมงคลตามที่ท่านต้องการ ซุ้มของที่ระลึกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ

           ส่วนแรก ๆ คือ บริเวณโถงกลาง เรียกว่า ซุ้มของที่ระลึก เพชร 7 สี มณี 7 แสง เป็น การบูชาลูกปัดสีต่าง ๆ โดยเลือกเสี่ยงทายตามสถานะหรืออาชีพการงานของบุคคลนั้น ๆ

           ส่วนที่ 2 รายล้อมโซน เพชร 7 สี มณี 7 แสง ประกอบไปด้วย เจ็ดสิ่งนำโชคในโลกใต้บาดาล อันมีความหมายมงคลตามความเชื่อจากหลากหลากประเทศในโลก ได้แก่

           1. มังกร+ลูกแก้ว : ขอพรและคำทำนาย เรื่องความมีโชคลาภ วาสนา
           2. พญานาค: ขอพรและคำทำนาย เรื่องร่ำรวยเงินทอง
           3. ปลาอานนท์ : ขอพรและคำทำนาย เรื่องสุขภาพ ความแข็งแรง มีกำลัง
           4. จระเข้ : ขอพรและคำทำนาย เรื่องการสะสมบุญ ความเมตตา เพื่อจะได้รับเมตตาจากเจ้านายและเป็นที่รัก
           5. พญาเต่า : ขอพรและคำทำนาย เรื่องอายุยืน
           6. ปลาม้าน้ำ : ขอพรและคำทำนาย เรื่องชีวิตคู่ยาวนาน สันติภาพ มิตรภาพ
           7. ปะการังแดง : ขอพรและคำทำนาย เรื่องเดินทางปลอดภัย

Watbanrai-22 Watbanrai-4 Watbanrai-5 Watbanrai-7

ชั้น 1 วิหารเทพวิทยาคม

“ภาพพุทธประวัติและต้นโพธิ์อธิฐาน” ความงามสุดแล้วแต่ปัจเจกมอง แต่ความหมายยิ่งใหญ่แห่งพุทธประวัติ…คงอยู่ชั่วกาลนาน

           ภาพที่ 1 พุทธอนุโมทนา (ประสูติ)
           ภาพที่ 2 พุทธปัญญา (ตรัสรู้)
           ภาพที่ 3 พุทธปาฏิหาริย์ (เผยแผ่พระพุทธศาสนาแด่เหล่าเทวดา)
           ภาพที่ 4 พุทธบารมี (เผยแผ่พระพุทธศาสนาแด่เหล่ากษัตริย์และนักบวช)
           ภาพที่ 5 พุทธปีติ (เผยแผ่พระพุทธศาสนาแด่ชาวบ้าน หมู่มาร และนักบวช)
           ภาพที่ 6 ปฐมพุทธศาสน์ (ปรินิพพาน)

           ทั้งนี้ เพดาน ภายในห้องจัดแสดงภาพพระพุทธประวัติและต้นโพธิ์อธิฐาน แสดงถึงบารมีแห่งพระพุทธองค์ เมื่อทรงตรัสรู้แล้วแผ่ไพศาลไปทั่วจักรวาลบรรยากาศ ค่อย ๆ สูงขึ้น จนเหนือชั้นฟ้า เหนือเมฆ ไปจนอสงไขย ไม่มีที่สิ้นสุด

Watbanrai-8 Watbanrai-9 Watbanrai-10 Watbanrai-11 Watbanrai-12 Watbanrai-13 Watbanrai-14

 ชั้น 2 วิหารเทพวิทยาคม

“พระวินัยปิฎก นิทรรศการ พระราชาผู้ทรงธรรม และห้องโถงแห่งธรรม”

           โดยรอบนำเสนอเรื่องราวของพระวินัยปิฎก และวิวัฒนาการพระพุทธศาสนา หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน อาทิ ศีล 227 ข้อ และเรื่องราวของนิกายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการตีความพระวินัยและพระธรรมคำสอนในหลากหลายแง่มุม ส่วนพื้นที่สงบเงียบตรงกลางนั้นเป็นพื้นที่โล่งให้สาธุชนได้อธิฐานจิต เพื่อเป็นกุศลแก่ตนเอง

           ส่วนห้องบริเวณเศียรช้าง เป็นห้องพระราชาผู้ทรงธรรม อันจะเนรมิตให้เป็นนิทรรศการเพื่อเทิดพระเกรียติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเรา ซึ่งท่านคือผู้นำแนวทางแห่งอริยสัจ 4 มาดำเนินเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้พ้นทุกข์ อันจะได้เห็นจากโครงการในพระราชดำริที่เกิดขึ้นมากมาย เพื่อให้ปวงชนได้พ้นจาก “ความจน” มาเป็น “ความพอ”

ชั้น 3 วิหารเทพวิทยาคม

“เรื่องราวของพระธรรมปิฎก พระธรรมขันธ์”

           จิตรกรรมวิจิตรบนเพดานชั้น 3 เป็นใบโพธิ์มากกว่า 84,000 ใบ เพื่อสอดแทรกคำสอนเรื่องของความเพียร เรียนรู้พระธรรม และยังเป็นเครื่องเตือนใจพุทธศาสนิกชนว่า พระองค์มิได้มุ่งแต่ถ่ายทอดแก่นพระธรรมตามที่พระองค์ทรงตรัสรู้ หากแต่สั่งสอนพระธรรมตามจริตของผู้สดับธรรมนั้น ๆ ด้วย ดังนั้น พระธรรมของพระพุทธเจ้าทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ นั้นเพื่อสั่งสอนผู้คนตามจริต ซึ่งจริตของแต่ละปัจจเจกนั้นมิได้เหมือนกันเป็นแบบแผนเดียวกัน การเผยแพร่พระธรรมจึงมิได้มุ่งแต่เพียงเผยแพร่แก่นด้วยวิธีเดียว แต่วิธีในการเผยแพร่ต่อ แต่ละบุคคลก็มีความสำคัญในการที่จะทำให้บุคคลนั้น ๆ เข้าใจซึ่งพระธรรมด้วย

ชั้นดาดฟ้า วิหารเทพวิทยาคม

“ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ และรูปหล่อปิดทองคำหลวงพ่อคูณ”

           ณ ชั้นบนสุดของหอเทพวิทยาคม ประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปหล่อหลวงพ่อคูณปิดทองคำ มองสู่เบื้องล่างเพื่อประสาทพรแก่สาธุชนชั่วกาลนาน

           นอกจากนี้ บริเวณรอบ ๆ วิหารเทพวิทยาคมยังมีเทพพญาสัตว์ต่าง ๆ ให้ได้ชมกัน เพื่อเป็นปริศนาธรรมแห่งให้ค้นหา เช่น พญานาค เปรียบเสมือนโอบอุ้มธรรมะของพระพุทธเจ้า สะพานพญานาค คือ ทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกธรรมะ, เทพจำแลง สุนัข 3 หัวเฝ้าประตูนรก แต่ละตัวมีชื่อว่า อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา ซึ่งมีความหมายแห่งการปล่อยวาง, พญาแร้ง สะท้อนให้ระลึกถึงกิเลสที่ชอบซุกอยู่ในใจคนมากที่สุด คือ โลภะ โทสะ และช้างเอราวัณ เป็นต้น

Watbanrai-15 Watbanrai-16 Watbanrai-17 Watbanrai-18 Watbanrai-19 Watbanrai-20

ต้นโพธิ์สีทอง จะมีพื้นวนๆ ให้นำเหรียญไปเหวี่ยงจะวนๆรอบใต้ต้นโพธิ์สีทอง สังเกตุดีๆนักท่องเที่ยวจะสนุกกับตรงนี้มาก

แข่งวนเหรียญใครวนได้นานกว่ากัน  เป็นการบริจาคเงินและสร้างความสนุกสนานให้กับผู้มาเที่ยวด้วย

Watbanrai-21

 ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องมาสัมผัส

           วิหารเทพวิทยาคม ประกอบขึ้นด้วยโมเสกมากกว่า 20 ล้านชิ้น และใช้แรงงานชาวบ้านเป็นผู้ติดอย่างละเอียดด้วยจิตศรัทธาและสมาธิ เพราะ 1 วัน 1 คน สามารถติดเซรามิกโมเสกชิ้นเล็กที่สุดเท่าเม็ดถั่วเขียวได้เพียงไม่เกิน 1 ตารางเมตร

           อย่างไรก็ตาม สำหรับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่สนใจขอเข้าชม ให้ส่งหนังสือแจ้งความจำนงพร้อมจุดประสงค์ในการเข้าชมล่วงหน้า 1 สัปดาห์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และทีมงานมัคคุเทศก์น้อย จัดสรรเวลาและเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกในทุกด้าน ส่วนกิจกรรมบุญอิเล็กทรอนิกส์ตามจุดต่าง ๆ ภายในวิหาร กำหนดให้ใช้บัตรเติมบุญ เริ่มต้นความศรัทธาราคา 30 บาท โดยจะเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.

Watbanrai-24 Watbanrai-23Watbanrai-25

 การเดินทาง

           จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) มุ่งหน้าสู่จังหวัดสระบุรี ประมาณ 75 กิโลเมตร ถึงตัวเมืองสระบุรี เมื่อถึงตัวเมืองสระบุรีแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา ประมาณ 89 กิโลเมตร จะถึงเขื่อนลำตะคอง ขับตรงไปอีกประมาณ 14 กิโลเมตร จะพบกับป้ายบอกทางถนนสาย 201 กับถนนสาย 24 ให้เลี้ยวซ้ายไปทางถนนสาย 201 (ไปจังหวัดชัยภูมิ) จากนั้นขับตรงไปมุ่งหน้าสู่อำเภอด่านขุนทด พอถึงอำเภอด่านขุนทดให้ท่านขับตรงไปอีก จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสาย 2217 จากนั้นขับตรงไป ประมาณ 11 กิโลเมตร ก็จะถึง “วัดบ้านไร่”

ขอขอบคุณข้อมูลจาก travel.kapook.com

ภาพและเรียบเรียงบทความโดย  ผู้พันน้อย รักในหลวง

Comments